รีวิว&ทดสอบ พาเจ้า Lambretta V200 Special ตำนานรถสกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิคสายพันธุ์อิตาลี ลุยฝนขึ้นจุดสูงสุดของประเทศไทย

โพสเมื่อ : 20 ก.พ. 2566 10:02

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมมีโอกาสได้รีวิวตำนานรถสกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิคสายพันธุ์อิตาลี ยี่ห้อหนึ่งที่หลายๆคนที่รักสกู๊ตเตอร์ต้องรู้จักยี่ห้อนี้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ Lambretta ซึ่งได้นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย คงสมใจหลายๆคนที่รอคอยรถรุ่นนี้แน่นอน



ผมได้รับสายกริ้งกร้างมาจากทาง Lambretta Chiangmai เพื่อขอให้เอาเจ้า Lambretta V200 Special คันนี้ไปทดสอบ ซึ่งผมเองตอบตกลงโดยไม่ลังเล เพราะอยากเอาเจ้า V200 ไปทดสอบในแบบฉบับของ VRthairider ด้วยอยู่แล้ว จึงเรียกได้ว่าได้โอกาสเหมาะเลยทีเดียวครับ

เรามารู้จักกับเจ้า Lambretta V200 Special คันนี้กันก่อนครับ แน่นอนด้วยชื่อรุ่นของมันทำให้หลายๆคนนึกว่าเป็นเครื่องยนต์ขนาด 200 ซีซี แต่จริงๆแล้วเจ้า V200 เป็นเครื่องยนต์ขนาด 168.9 ซีซี ครับ ไว้เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ครับ

มาดูกันที่การออกแบบของเจ้า Lambretta V200 Special กันก่อนครับ การออกแบบนั้นจะมาในสไตล์ Neo Classic ที่ยังคงเอกลักษณ์จากสกูตเตอร์ของ Lambretta ตั้งแต่ในยุค 60 แต่ได้มีการออกแบบใหม่ให้ดูลงตัวและดูมีความทันสมัยเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับรถในยุคนี้ครับ (ชิลล์หน้า , สติ๊กเกอร์ และ ตระแกรงหลัง เป็นอุปกรณ์ตกแต่งจากทาง Lambretta Chiangmai ครับ)

เฟรมรถของเจ้า Lambretta V200 Special เป็นแบบเฟรมเหล็กท่อ steel tube ซึ่งแข็งแรงแน่นอน ซึ่งน้ำหนักตัวโดยรวม 134 กิโลกรัม

ไฟหน้าเป็นแบบ LED ที่มีการคาดด้วยไฟ Daylight ที่มีตรา Lambretta อยู่ตรงกลางให้ความรู้สึกที่ดูโมเดิร์น ทันสมัย ซึ่งต้องบอกครับว่าไฟหน้าของเจ้า V200 สว่างมากครับ เรียกได้ว่าเดินทางในยามกลางคืนนี่สว่างได้ใจแน่นอนครับ

ไฟเลี้ยวหน้าติดตั้งที่บังลมเป็นแบบไฟ LED ที่ดูสวยงามลงตัว เวลาเปิดไฟเลี้ยวจะมีเสียง ปี๊บๆ เบาๆ ดูเข้าท่าดีครับ ไม่มีการลืมปิดไฟเลี้ยวแน่นอนครับ

ในด้านไฟท้ายก็เป็นแบบ LED ที่ออกแบบมาได้หรู ดูดีมากๆครับ คาดด้วยโลโก้ Lambretta ลงตัวมากครับ

เรือนไมล์ได้มีการออกแบบผสมผสานระหว่างอนาอคและดิจิตอล โดยการออกแบบจะแตกต่างจากที่เราเคยเห็นกันที่ส่วนมากความเร็วจะเป็นดิจิตอลส่วนวัดรอบจะเป็นแบบเข็ม แต่เจ้า V200 จะสลับเอาวัดรอบเป็นดิจิตอลส่วนความเร็วจะเป็นแบบเข็ม มันก็ดูเก๋ไปอีกแบบครับ สำหรับไฟเรือนไมล์จะสามารถเปลี่ยนสีได้หลากสีเลยครับ เลือกเอาตามใจชอบเลย

สวิตซ์ไฟเลี้ยวต่างๆ ก็มีมาให้ใช้แบบครบถ้วนและออกแบบได้ดูคลาสสิคมากๆครับ โดยสวิตซ์แฮนด์ด้านขวาจะเป้นตัวควบคุมการแสดงผลบนเรือนไมล์หรือการปรับตั้ง รีเซ็ททริปต่างๆได้จากสวิตซ์แฮนด์นี้ได้เลยครับ ส่วนตัวมองว่าสะดวกมากๆครับ

สวิตซ์กุญแจที่สามารถควบคุมทั้งการเปิดเบาะ และ การเปิดช่องเก็บของด้านหน้า ซึ่งสามารถเก็บของชิ้นเล็กๆพอได้ครับ แต่หากของชิ้นใหญ่ๆคงอดครับ โดยภายในช่องเก็บของด้านหน้าจะมี สวิตซ์สีเหลือง เอาไว้สำหรับป้องกันไม่ให้รถสามารถสตาร์ทติดได้ อารมณ์จะคล้ายๆกับ Off-Run นั่นเองครับ และมี Power Socket แบบ USB ไว้เผื่อเสียชาร์จแบตมือถือต่างๆได้ครับ

เบาะใหญ่กว้างนั่งได้สบาย และซ้อนก็ไม่ได้อึดอัด ผมขี่ไปยาวๆไม่มีอาการเมื่อยแต่อย่างใดครับ สำหรับระยะการนั่งของเจ้า V200 ผมถือว่าเป็นรถที่มีการจัดวางท่านั่งขี่ได้สบายครับ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรมาก เป็นรถที่ขี่ได้สบายอีกรุ่นหนึ่งครับ

ใต้เบาะมีช่องสำหรับเก็บของขนาดใหญ่ เท่าที่ดูน่าจะใส่หมวกกันน็อคใบใหญ่ๆได้สบายครับ และที่ชอบอีกอย่างก็คือตัวกล่องสามารถยกออกมานอกรถได้ ทำให้ง่ายต่อการเซอร์วิสเครื่องยนต์ครับ โดยที่ถังน้ำมันมีความจุอยู่ที่ 6 ลิตร

โช้คหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิค ส่วนด้านหลังเป็นโช้คคู่ปรับระดับได้ โดยล้อเป็นล้อแม็กขนาด 12 นิ้ว ที่รัดด้วยยาง Pirelli ยางหน้าขนาด 110/70 ส่วนล้อหลังขนาด 120/70

ในด้านของระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลัง โดยที่เบรคหลังจะเป็นแบบ คอมบายเบรก ซึ่งจะทำงานแบบกระจายแรงเบรกทั้งหน้าและหลัง เรียกได้ว่าเป็นออฟชั่นที่มีประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ทีเดียวครับ

ในด้านของเครื่องยนต์ของเจ้า Lambretta V200 Special นั้นเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดียว ขนาด 168.9 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบสายพาน CVT ให้แรงมาที่ 13 แรงม้า (8.9 kW) ที่รอบเครื่องยนต์ 7,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 12.5 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 5,500 รอบต่อนาที จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด พร้อมท่อไอเสียระดับมาตรฐาน Euro 4

จากการทดสอบขับขี่ขึ้นจุดสูงสุดของประเทศไทย คือยอดดอยอินทนนท์ โดยออกเดินทางออกจากจังหวัดเชียงใหม่ บิดยิงยาวๆเพื่อดูอาการของเจ้า V200 ลักษณะเครื่องยนต์จะออกตัวที่ให้ความรู้สึกว่าออกตัวที่รอบค่อนข้างสูง รถจะเริ่มขยับที่ราวๆ 4,500 รอบต่อนาที หากคนที่เคยขี่รถออโตเมติกจากค่ายญี่ปุ่นที่มีขายหลายๆรุ่นอาจจะรู้สึกว่าเจ้า V200 ออกตัวด้วยรอบเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งหากออกตัวให้สนุกให้กระแทกคันเร่งไปที่ราวๆ 5,000 – 6,000 รอบ รถจะออกตัวพุ่งได้ดั่งใจกว่าครับ หากขี่ไปได้สักพักก็จะคุ้นชินครับ

ในช่วงความเร็ว 60 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เปิดคันเร่งได้สนุกไม่ได้อืดอาดอะไรครับ การเดินทางแช่ยาวๆและลองทดสอบ Top Speed ของเจ้า V200 ผมรวมกับอุปกรณ์กล้องเต็มกระเป๋าสะพายหลังก็ราวๆ 80 กิโลกรัม หากนั่งขี่ก็จะได้ราวๆ 100-105 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่หากหมอบให้หัวต่ำกว่าชิวหน้าก็จะได้ราว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ

รถให้ความคล่องตัวที่ดี การขับขี่ในเมืองคล่องตัวครับ ในด้านการเข้าโค้งหากโค้งเรียบๆสามารถเข้าไปได้เต็มๆได้เลยครับ แต่หากโค้งที่มีคลื่นลึกๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า V200 ยังไม่สู้กับถนนแนวนี้มากนักครับ หากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงมากๆแล้วเจอคลื่นลึกๆรถอาจจะมีเสียอาการกันบ้างครับ

ช่วงล่างของเจ้า V200 ต้องบอกตรงๆว่า โช้คหน้าค่อนข้างแข็งครับ รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกขึ้นมาพอสมควร ส่วนด้านหลังถือว่าไม่ได้แข็งมากอีกทั้งปรับได้ก็ลองปรับตั้งกันดูให้เข้ากับตัวเองครับ

ระบบเบรคส่วนตัวรู้สึกว่าเวลาบีบเบรกหน้าจะรู้สึกไม่ได้หนึบมากนัก จะออกสไตล์คล้ายๆค่อยๆชะลอมากกว่า ต้องบีบแรงๆถึงจะติดหนึบครับ ส่วนเบรกหลังที่เป็นระบบคอมบายเบรก ต้องบอกเลยว่าทำงานได้ดีมาก เบรกครั้งแรกนี่หัวทิ่มเลยครับ ต้องขี่ไปสักระยะจะใช้งานได้ชินมากยิ่งขึ้น หลังๆมาผมแทบจะใช้แต่เบรกหลังอย่างเดียวเลย เพราะการกระจายแรงเบรกทำได้ค่อนข้างดีมากครับ

และในยามต้องขี่ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนน์ กำลังเครื่องยนต์ของเจ้า Lambretta V200 Special ก็สามารถได้ขึ้นไปได้เรื่อยๆ ด้วยความเร็วในช่วง 40-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงจุดที่ชันมากๆของทางขึ้นอินทนนท์ ซึ่งจุดนี้ผมค่อนข้างชอบเลยครับ

ในตอนขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ ต้องเจอทั้งหมอกและฝนแทบตลอดทาง เครื่องยนต์ก็ไม่มีอาการงอแงหรือแสดงปัญหาใดๆออกมาให้เห็นครับ ส่วนยางที่ให้มาก็ถือว่าขี่บนทางเปียกได้ค่อนข้างมั่นใจทีเดียวครับ

เครื่องยนต์ของ Lambretta V200 Special ถือว่ามี Engine Brake ให้สามารถใช้งานได้ในช่วงความเร็ว 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะเป็นการช่วยในเรื่องการเดินทางเที่ยวออกทริปบนดอยชันๆได้พอสมควรครับ

ในด้านการบริโภคน้ำมันนั้นจากการทดสอบแบบแทบจะใช้ความเร็วที่ล็อคคันเร่งตลอดทาง รวมถึงการบิดขึ้นยอดดอยอินทนน์ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 38 กิโลเมตร/ลิตร ผมถือว่าพอใจทีเดียว หากใช้งานทั่วๆไป น่าจะทำได้มากกว่า 40 กิโลเมตรต่อลิตรได้สบายๆครับ

ก็ถือว่าเจ้า Lambretta V200 Special ก็เป็นรถสกู๊ตเตอร์คลาสสิคอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อยครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นสาวกของตำนานรถสกู๊ตเตอร์สุดคลาสสิคสายพันธุ์อิตาลีอย่าง Lambretta ด้วยแล้วไม่ควรพลาดจริงๆครับ โดยสนนราคาของ Lambretta V200 Special อยู่ที่ 99,500 บาท หากใครที่สนใจก็เข้าไปดูตัวจริงและจับจองเป็นเจ้าของกันได้ที่ตัวแทนจำหน่าย Lambretta ทั่วประเทศครับ

* ขอขอบคุณ Lambretta Chiang Mai ที่เอื้อเฟื้อรถทดสอบในครั้งนี้ครับ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

รีวิว & ทดสอบ Cineco ES5 รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แรงถึงใจกับมอเตอร์ Mid Drive ขนาด 5,000 วัตต์

สวัสดีครับทาง VRthairider ได้มีโอกาสได้ทดสอบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว นั่นก็คือ Cineco ES5 ซึ่งต้องบอกเลยว่าคันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆครับ ทดสอบแล้วเป็นยังไงติดตามกันได้เลยครับ

รีวิวและทดสอบ KAWASAKI W175 SE กับรถสไตล์เรโทร-คลาสสิก น้องเล็กรุ่นล่าสุดตระกูล W-Series

วันนี้กับการรีวิวและทดสอบรถใหม่จากค่าย KAWASAKI ในรุ่น W175 SE กับรถในสไตล์ เรโทร-คลาสสิก รุ่นเล็กจากทางค่าย ซึ่งสืบทอดความคลาสสิคมาจากรุ่นใหญ่ในตระกูล W นั่นเอง

รีวิว ทดสอบ Kawasaki W250 2018 รถในสไตล์เรโทรคลาสสิคในตระกูล W Series

Kawasaki W250 ถือได้ว่าเป็นรถในสไตล์เรโทรคลาสสิคในตระกูล W Series ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตลาดเอเชียโดยเฉพาะ ด้วยการออกแบบที่ได้กลิ่นอายของความคลาสสิคโดยแท้ ไม่ต่างจากรุ่นพี่อย่าง W800 หรือรุ่นน้องอย่าง W175 เลย